จึงเกิดความคิด “ตั้งโจทย์” ให้กับตัวเองว่าจะทำอย่างไรจึงจะเกิดสินค้าหรือธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยอยู่บนพื้นฐานของการใช้องค์ความรู้ สามารถแข่งขันได้ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่ม การมีสินค้าที่มีเอกลักษณ์และความแตกต่างในด้านดีไซน์เป็นของตนเอง เพราะธุรกิจในอดีตเป็นการรับจ้างผลิตตามแบบของลูกค้า และยังคิดอีกว่าจะทำอย่างไรจึงสามารถใช้ฐานการผลิตเดิมเพื่อให้พนักงานที่มีอยู่ทำงานได้ต่อไป
ในตอนนั้นจึงใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมที่ร่ำเรียนมา พยายามพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องจักรที่มีอยู่และทำอะไหล่เครื่องจักรที่ใช้ในธุรกิจเท๊กซ์ไทล์ขึ้นมาเอง เป็นการฝึกฝีมือให้กับทีมงานฝ่ายวิศวกรรมและฝ่ายวิจัยและพัฒนา จนกระทั่ง เกิดแรงบันดาลใจหลังจากไปเที่ยวประเทศฝรั่งเศสและเกิดความประทับใจ “โมเสก” ของโบสถ์ใหญ่โตที่มีรายละเอียดของสีสันและลวดลายที่สวยงาม ทำให้เกิดคำถามกับตัวเองว่าทำไม “โมเสก” บนศิลปะยุโรปที่สวยงามจึงอยู่ไม่ได้นาน ก็คิดว่าอาจจะเป็นเพราะสีหรือพื้นผิวที่อยู่อย่างจำกัด ราคาสูงเกินไป หรือความยากในการใช้
จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ในการปัญหาที่ท้าทายใหม่นี้ ด้วยการเริ่มวิจัยและพัฒนาเครื่องจักรที่ใช้ผลิตโมเสก เพื่อให้รู้ว่าจะใช้เทคโนโลยีพื้นฐานอะไรในการผลิตโมเสก ค้นหาความต้องการของลูกค้าจากหลายๆ อุตสาหกรรม จนพบว่าธุรกิจก่อสร้างและตกแต่งภายใน เป็นคำตอบของธุรกิจใหม่สำหรับโมเสกที่พัฒนาขึ้นมา จึงหันมาโฟกัสเน้นหนักให้ความสำคัญในกลุ่มนี้
อย่างไรก็ตาม เขามองว่าการวางกลยุทธ์มีความสำคัญ ซึ่งเมื่อกำหนดให้สินค้าใหม่ที่ผลิตขึ้นอยู่ในระดับพรีเมียมแล้ว ในเรื่องของภาพลักษณ์องค์กร และการทำตลาดต้องไปในทิศทางเดียวกันด้วย รวมทั้ง การสร้างแบรนด์ “โซไนต์” (SONITE) และโลโก้ที่บ่งบอกตัวตนหรือจิตวิญญาณที่สื่อให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างไร้ขีดจำกัดหรือ Infinite Innovation โดยมีหลักการบริหารที่ประกอบไปด้วย 3 ส่วนที่ต้องเชื่อมโยงสอดคล้องกัน คือ 1.Design เพราะการออกแบบเป็นส่วนสำคัญ เพื่อให้เกิดความแปลกใหม่ โดดเด่นและแตกต่าง 2.Manufacturing เพราะการผลิตเครื่องจักรและมีเทคโนโลยีในการผลิตเองทำให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น และ3.Sales&Marketing เพราะช่องทางจำหน่ายที่ทำให้เข้าถึงลูกค้าและสื่อสารได้ดี เมื่อทั้ง 3 ส่วนสัมพันธ์ได้ดีจึงจะทำให้ประสบความสำเร็จ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น